วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2557

มัลดีฟส์ "ไข่มุกแห่งมหาสมุทรอินเดีย"

ก่อนอื่นต้องขอขอบพระคุณ บริษัท พี วาย เอ็ม เป็นอย่างสูงที่ไว้วางใจให้ทาง มีทวี ทัวร์ ได้คอยดูแลและบริการคณะลูกค้าคนสำคัญทั้ง 25 ท่านที่ได้ร่วมเดินทางไปกับเราในทริปนี้

(ภาพถ่ายรูปหมู่ของลูกค้าทริปมัลดีฟส์ทั้ง 25 ท่าน)

ช่วงเดือนเมษายนถือเป็นช่วง High Season ของการมาท่องเที่ยวที่เกาะมัลดีฟ  รีสอร์ทส่วนใหญ่ห้องพักจะถูกจองเกือบเต็ม  ซึ่งอากาศในช่วงนี้แม้จะร้อนอยู่บ้างแต่ก็ไม่ค่อยมีฝนทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาสัมผัสทัศนียภาพอันงดงามของน้ำทะเลสีฟ้าใสและหาดทรายขาวของที่นี่   แม้ว่าค่าที่พักช่วงนี้ค่อนข้างสูงก็ตาม   แต่เพื่อความสุขของลูกค้าระดับ VIP ทั้งทีงานนี้บอสใหญ่ของค่าย PYM อย่างคุณ มนตรี หรือ พี่ตี๋ งานนี้ไม่หวั่น

(ผมถ่ายคู่กับ "พี่ตี๋" บอสใหญ่แห่งบริษัท PYM ขณะนั่งเรือไปยังรีสอร์ท)

ประเทศมัลดีฟส์แม้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่กว่า 99% จะเป็นอาณาเขตของท้องทะเล   แต่พื้นดินอีก 1% ที่ประกอบด้วยหมู่เกาะปะการัง 26 กลุ่ม (atoll) รวม 1,190 เกาะนั้นกลับกลายเป็นพื้นที่ที่มีความงดงามทางธรรมชาติเหนือคำบรรยาย  และได้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงระดับโลก

(หาดทรายขาวตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าใส)

ลักษณะภูมิประเทศพิเศษของหมู่เกาะของที่นี่แวดล้อมไปด้วยแนวประการังทางธรรมชาติที่มีอุดมสมบูรณ์   หาดทรายสีขาวตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าใสราวกับกระจกจึงไม่น่าแปลกใจที่เกาะแห่งนี้กลายมาเป็นเกาะสวรรค์ของผู้คนทั่วโลกที่ใฝ่ฝันกันว่าสักครั้งหนึ่งในชีวิตต้องมาเยือน "ไข่มุกแห่งมหาสมุทรอินเดีย" แห่งนี้ให้ได้แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายในทริปท่องเที่ยวที่ค่อนข้างสูงก็ตาม

(หมู่เกาะปะการัง หรือ atoll)

เมื่อเครื่องบินลงจอดแล้วคณะเราได้เดินทางเข้าสู่อาคารสนามบินซึ่งเป็นสนามบินที่มีขนาดเล็กอารมณ์ประมาณสนามบินภูเก็ตบ้านเรา   เมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วคณะเราก็ไปรับกระเป๋าแล้วก็ต้องผ่านด่าน X-Ray ของศุลกากรของที่นี่ซึ่งผู้มาท่องเที่ยวที่นี่จะต้องผ่านด่านนี้ทุกคน   ทางคณะเราเห็นแล้วก็ใจไม่ค่อยดีเนื่องด้วยที่นี่เป็นประเทศมุสลิมและห้ามนำเข้าเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด    ซึ่งคณะเราก็ได้ซื้อและแอบซ่อนมาในกระเป๋าเป้สะพายติดตัวมาและผลการตรวจก็โดนทางเจ้าหน้าที่ศุลกากรยึดเหล้าที่ซื้อมาไว้ฉลองปาร์ตี้หมดเกลี้ยงทั้ง 5 ขวดทำเอาวัยรุ่นในคณะเซ็งกันเป็นแถว   ซึ่งเหล้าที่ถูกยึดนั้นคณะเราจะได้คืนอีกทีในวันเดินทางกลับ

(เห็นภาพนี้ไม่ต้องบรรยายความรู้สึก เมืื่อ...ตม.ยึดหมดของกลาง)

ต่อมาเมื่อออกอาคารสนามบินคณะเราก็เดินเท้าไปประมาณ 100 เมตรไปยังท่าเรือเพื่อที่จะนั่ง Speed Boat พาคณะเราไปสู่ Olhuvili Beach & Spa Resort จุดหมายปลายทางของคณะโดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที    ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ได้นั่ง Speed Boat  นั้นคณะเราก็ได้เพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพที่งดงามราวกับภาพวาด  

(คุณแม่กับคุณลูกถ่ายรูปคู่บริเวณท่าเรือ)

(เรือ Speed Boat รับส่งโรงแรมนั่งได้ 16 ท่าน)
                              
ในที่สุด Speed Boat ก็ได้นำคณะมายังที่หมายนั่นก็คือ OlhuviliBeach & Spa Resort  รีสอร์ทหรูบนเกาะส่วนตัวที่แวดล้อมไปด้วยแนวประการังและหมู่ปลาน้อยใหญ่ที่มาเวียนว่ายต้อนรับคณะเราบริเวณท่าเรือของรีสอร์ท
                                   (บรรยากาศบริเวณท่าเรือของรีสอร์ท)

เมื่อเข้ามาสู่ตัวรีสอร์ทก็พบกับเจ้าหน้าที่ตั้งแถวตีกลองต้อนรับคณะเราอย่างอบอุ่นเป็นกันเองพร้อมกับเสิร์ฟ Soft drink ฝรั่งโซดาที่มีรสชาติหวานนุ่มชุ่มลิ้นแก้กระหายได้เป็นอย่างดี     โดยบรรยากาศบนเกาะที่นี่ช่างเหมาะสำหรับคู่รักที่ต้องการเดินทางมาพักผ่อนอย่างแท้จริง  

(Soft Drink ฝรั่งโซดา รสนุ่มชุ่มคอ...อย่างนี้ต้องหมดแก้ว)

จากนั้นทางคณะเราก็ได้แยกย้ายกันเข้าห้องพักซึ่งเป็นแบบ jacuzzi water villa ซึ่งเป็นห้องพักสุดหรูกว่า 30 หลังที่ถูกสร้างเป็นกลุ่มยื่นออกไปในทะเล   โดยมีสะพานทางเดินไม้เชื่อมต่อห้องพักแต่ละหลังเข้าหากัน    

(ภาพจากมุมสูงของรีสอร์ท โซน jacuzzi water villa)

(ทางเดินเข้าสู่ที่พักโซน สองข้างทางมีต้นไม้ร่มรื่น)

โดยความพิเศษของห้องพัก Type นี้จะต่างจากห้องพักทั่วไปตรงที่ ห้องพักแต่ละหลังจะมีอ่าง jacuzzi หลังละ 2 อ่างที่หันหน้าออกสู่ทะเลซึ่งมีทั้งแบบ indoor ที่อยู่ภายในห้องน้ำและแบบ outdoor ที่อยู่บริเวณระเบียงหลังบ้านทำให้ผู้เข้าพักได้เข้าถึงบรรยากาศของทะเลอย่างเต็มอิ่ม  

(อ่าง jacuzzi indoor ในห้องน้ำ มองออกไปเป็นวิวทะเล)

(อ่าง jacuzzi indoor แบบ Outdoor สัมผัสบรรยากาศทะเลแบบเต็มอิ่ม)

ส่วนของระเบียงหลังบ้านยังมีบันไดเชื่อมลงสู่ทะเล ทำให้ลูกค้าที่มาพักได้ว่ายน้ำในทะเลอย่างเป็นส่วนตัวรอบตัวบ้านไปกับหมู่ปลาน้อยใหญ่ที่แหวกว่ายรอบๆ  แบบเป็นกันเองไม่กลัวคน ทั้งลูกปลาฉลาม ปลากระเบน และปลาอื่นๆที่มีสีสันสวยงาม

(ลูกปลาฉลามที่กำลังว่ายน้ำกันอย่างสบายใจรอบรีสอร์ท)

(อาป๋าชวนหลานๆ รีบมาเล่นน้ำกับลูกปลาฉลามกันเร็ว...)

(อาป๋าเสนอ...คุณหลานใจเกินร้อย ลุย!!!)

(ไม่ได้มากันเป็นคู่คับ...ยกกันลุยเป็นทีม แท็คทีมมากันงานนี้ฉลามถอยคับ)

หลังจากคณะเราเล่นน้ำกันจนเหนื่อยแล้วมื้อค่ำคณะเราก็ฝากท้องกับภัตตคารของรีสอร์ทที่มีบริการอาหารนานาชาติหลากหลายชนิดไว้ให้เลือกทานกันแบบจุใจ  เรียกได้ว่าที่นี่เหมือน"สุกี้เอ็มเคดีๆนี่เอง" ตักเลยอร่อยทุกอย่าง  รีสอร์ทที่นี่มีการจ้างเชฟมืออาชีพจากหลากหลายชาติมาทำอาหารนานาชาติให้ลูกค้าได้ลิ้มลอง

(ภาพบรรยากาศภัตตคารของรีสอร์ท)

หลังจากได้สำรวจภัตตคารโดยรอบแล้วผมไม่รีรอที่จะต่อคิวสั่งสปาเกตตี้ที่มีคนเข้าคิวเป็นแถวยาว   สปาเกตตี้และพาสต้าที่นี่มีเครื่องให้เลือกหลากหลายทั้งส่วนผสมและครีมซอสที่สามารถเลือกเองตามชอบจากนั้นก็ส่งให้เชฟผัดร้อนๆแบบจานต่อจาน

(สปาเกตตี้-พาสต้า ผัดร้อนๆ จานต่อจาน)

ส่วนเมนูผักสลัดก็มีให้เลือกมากมายหลายชนิด  และยังมีอาหารทั้งแกงกระหรี่ สเต็ก ซูชิ ก๋วยเตี๋ยว ให้เลือกทานกันแบบจุใจ

(เมนูอาหารนานาชาติตกแต่งอย่างพิถีพิถัน)

(เมนูของหวานทั้งเค้ก พุดดิ้ง เจลลี่ อร่อยมากกก)

อาหารที่มัลดีฟส์นั้นหลากหลายเมนูมนิยมทำจากปลาทูน่า  ซึ่งปลาทูน่าถือเป็นอาหารอาหารหลักคนคนพื้นเมืองที่นี่อีกปลาทูน่าของมัลดีฟส์นี้ก็ถูกส่งมาขายเป็นทูน่ากระป๋องในบ้านของเราอีกด้วย    เรียกได้ว่าหากมาถึงมัลดีฟส์แล้วไม่ได้ลิ้มลองปลาทูน่า "เสมือนมาไม่ถึงมัลดีฟส์ก็ว่าได้"  

(บรรยากาศมื้อค่ำในภัตตรคาร)

ผ่านไปอีกวันสำหรับค่ำคืนอันแสนสุขบนเกาะสวรรค์  เช้าวันต่อมาคณะเราก็ตื่นมาทานอาหารเช้าร่วมกัน  จากนั้นช่วงสิบโมงครึ่งคณะเราได้นัดกันไปผจญภัยกับกิจกรรมทางน้ำของทางรีสอร์ท  ซึ่งมีให้บริการทั้งเรือใบ วินเซิร์ฟ เรือแคนนู เรือถีบ เจ็ตสกี และบานาน่าโบ๊ทให้เลือกเล่น   โดยคณะเราก็ได้เลือกเรือถีบและเรือแคนนูเป็นกิจกรรมสันทนาการในยามเช้าของวัน  

(ภาพนี้คู่รักกำลังพายเรืออย่างชิวๆ)

(ภาพนี้พายเรือแคนนูคู่รักสวีทจนน้ำทะเลหวานเรยยยย)

(หากชอบกิจกรรมท้าทายหน่อยก็ต้องเล่นอันนี้)

(หากอยากท่องทะเลไกลต้องแล่นเรือใบ ลำนี้นั่งได้สี่คน)

คณะเราพายเรือกันได้ไม่เท่าไรก็หมดแรงกันเสียแล้ว  เนื่องด้วยอากาศที่ค่อนข้างร้อนและมีแสงแดดจัดเลย  ต้องหนีไปคลายร้อนกันในสระว่ายน้ำของรีสอร์ทที่ถูกสร้างอยู่บนชายหาดสามารถแช่น้ำมองเห็นวิวทะเลอันสวยงามอย่างใกล้ชิด

(สิบนาทีผ่านไป เหล่าฝีพายทยอยหมดแรงต่างพากันเข้าฝั่ง)

(เหล่าฝีพายต่างพากันแช่น้ำในสระอย่างชิวๆ)

(เมื่อหายเหนื่อยแล้วต่างก็ผันตัวมาเป็นนักกระโดดน้ำ)

(ท่านี้ต้องใช้วิชากำลังภายใน ลอยตีลังกาบนผิวน้ำ)

ช่วงบ่ายหลังจากได้ทานข้าวและพักผ่อนเอาแรงกันเป็นที่เรียบร้อย  คณะเราก็มีนัดกันไปดำน้ำดูหมู่ปลาและปะการังกันที่ท่าเรือของรีสอร์ท   ซึ่งที่นี่นั้นมีให้เช่าทั้งอุปกรณ์ดำน้ำทุกชนิดรวมไปจนถึงเสื้อชูชีพ 

(พี่พลสินธุ์ผู้จัดการใหญ่ PYM กำลังสอนลูกค้าใช้ตีนกบ...)

คณะเราไม่รีรอรีบใส่เชื้อชูชีพพร้อมหน้ากาก snorkel เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศการดำน้ำท่ามกลางหมู่ปลาที่แหวกว่ายตามแนวประการังอย่างใกล้ชิด ซึ่งมีทั้ง ปลาการ์ตูน ปลาเข็ม ปลาสีสันสวยงามมากมาย อีกทั้งบริเวณที่คณะเราดำน้ำนั้นก็ยังพบเห็นปลาเก๋าหลายตัวนั้นแอบอยู่ตามโขดหิน   ซึ่งทำให้ลูกค้าเราในคณะเราบางท่านน้ำลายไหลไปตามๆกัน

(ท้ายสุดดำน้ำสลัดตีนกบเหลือแต่ตีนคนดีกว่า...ถนัดกว่าเยอะ)

ขณะที่คณะเรากำลังขึ้นจากฝั่งเพื่อเดินทางกลับห้องพักระหว่างนั้นเอง คณะเราก็โชคดีมากที่ได้เห็นเหล่าฝูงปลาโลมานับสิบตัวมาแหวกว่ายอยู่ในทะเลซึ่งเป็นจุดที่ไม่ไกลจากจุดที่เราได้ออกไปกัน   เสียดายหมู่ปลาโลมาโผล่มานอกสคริปเลยถ่ายมาให้ชมไม่ทันครับ  แนะนำว่าต้องมาดูด้วยตนเองที่นี่ครับ...โผล่มาเล่นน้ำเป็นฝูง

(บรรยากาศอาหารมื้อค่ำ พี่ตี๋กล่าวขอบคุณลูกค้าในทริป )

(อาป๋ามาแต่หัวค่ำนั่งเป็นประธานที่หัวโต๊ะ )

หลังจากที่ได้ร่วมทางอาหารค่ำกันเป็นที่เรียบร้อย  เหล่าฝีพายทั้งสิบท่านก็ได้มารวมตัวที่ห้อง 319 เน้นคับห้อง 3..1..9  ห้องนี้มีบริการอาหารและเครื่องดื่มตลอด 24 ชั่วโมงทั้งอาหารญี่ปุ่นขึ้นห้างอย่างมาม่าและน้ำข้าวบาเล่ย์ตราคาร์สเบิร์ก

(หลังจากเสร็จมื้อค่ำก็มาต่อมื้อดึกในบรรยากาศสุดชิว...ทะเลหลังบ้าน)

(ระหว่างที่กำลังชิวๆอยู่ในทะเลหลังบ้าน...อยู่ดีๆก็มีกระเบนราหูมาตรวจจับแอลกอฮอล
งวดนี้ไม่โดนใบสั่ง เพราะเมาแล้วไม่ได้ขับรถครับ)

วันที่สามของการเดินทางหลังอาหารเช้าคณะเราได้พักผ่อนกันตามอัธยาศัย   จากนั้นมื้อเที่ยงคณะเราก็จัดหนักกันมื้อสุดท้ายก่อนออกจากเกาะเพื่อนั่ง Speed Boat กลับไปยังฝั่งสนามบินเพื่อฝากกระเป๋าสัมภาระกับทางเจ้าหน้าที่ของสนามบิน   

(บรรยากาศหน้าระเบียงภัตตคาร...สายลมชิวๆ)

(หลังอาหารเที่ยงพี่ตี๋สั่งให้กลับบ้าน...แต่ Staff กลับหลังซะงั้น )

(ขณะลงเรือ Speed เพื่อเดินทางกลับ...ลูกค้าหันหน้าดุมาถ่ายอารายยน้อง)

(ก็แอบถ่ายคู่รักมาสวีทกันอยู่คับผม...ตากล้องแอบอิจฉา )

(ใช้เวลาเดินทางกลับประมาณ 45 นาทีก็มาถึงที่สนามบินครับ
ทางคณะเราก็นำสัมภาระไปฝากที่เคาร์เตอร์ข้างสนามบิน  )

จากนั้นคณะเราเพื่อไป City Tour ที่เกาะมาเล เมืองหลวงของประเทศมัลดีฟส์   โดยนั่งเรือข้ามฟากจากฝั่งสนามบินประมาณ 10 นาทีไปยังเมืองมาเลอ เมืองมาเล นั้นติดอันดับเป็นเมืองหลวงที่เล็กที่สุดของโลก  ประชากรที่อาศัยอยู่บนเกาะมาเลนี้มีอยู่ราว  1.3 แสนคน  โดยประชากรมัลดีฟส์กว่า 25% อาศัยอยู่บนเกาะนี้   

(จากนั้นก็นั่งเรือข้ามฟากต่อไปยังกรุงมาเล เพื่อเที่ยว City Tour)

เนื่องด้วยกรุงมาเลเป็นเกาะที่มีขนาดเล็กและมีถนนซอกซอยที่คับแคบละมีการจราจรที่ติดขัด  จุดท่องเที่ยวไฮไลท์ของ City Tour ก็อยู่บนถนนสายหลักเส้นเดียวกันและอยู่ห่างกันไม่ไกลใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 3-5 นาที   จึงทำให้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ City Tour ด้วยการเดินเท้าเยี่ยมชมเมือง   

(ภาพมุมสูงของกรุงมาเล เมืองหลวงของมัลดีฟ)

จากท่าเรือจุดแรกที่ไกด์ท้องถื่นพาเรามาแวะถ่ายภาพ ก็คือ ทำเนียบประธานาธิบดีซึ่งแต่เดิมเป็นพระราชวังเก่าสร้างในปี ค.ศ.1906 โดยสุลต่าน Mohamed Shamsuddeen III  ถูกใช้เป็นบ้านของประธานาธิบดีระหว่างปี ค.ศ. 1953 - 1994 หลังจากมีการสร้างที่พักใหม่ให้ประธานาธิบดี ปัจจุบันที่แห่งนี้จึงถูกใช้เป็นสถานที่ทำงานของประธานาธิบดี

(จุดแรกเดินไม่ไกลนักจากท่าเรือเป็นทำเนีบประธานาธิบดี)

คณะเราได้เดินทางต่อเพียง 3 นาทีก็มาถึงไฮไลท์จุดที่สองนั่นก็คือมัสยิด Huskuru Miskiiy หรือ มัสยิดวันศุกร์ เป็นมัสยิดที่สร้างขึ้นในสมัยคริสศตวรรษที่ 17 โดยสุลต่าน Ibrahim Iskandhar ในปี ค.ศ. 1656 มัสยิดแห่งนี้ได้นำหินมาแกะสลักเป็นลวดลายอย่างสวยงาม  จึงทำให้สถานที่แห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การ Unesco 


(ลูกค้าส่วนมุ่งตรงสู่ห้องน้ำ ส่วนผมตั้งใจทำงานถ่ายวีดีโอ)

มัสยิดแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาอิสลามที่สำคัญของชาวมัลดีฟส์กว่า 400 ปี      โดยบริเวณข้างมัสยิดจะเป็นสุสานที่ฝังพระศพของสุลต่าน Ibrahim Iskandhar ผู้สร้างมัสยิสแห่งนี้และบริเวณใกล้เคียงยังเป็นที่ฝังพระศพของเครือพระญาติและขุนนางชั้นสูง    


(สุสานของอดีตสุลต่านและเชื้อพระวงศ์)

รูปร่างของป้ายหลุมพระศพของที่นี่ยังสามารถบ่งบอกถึงเพศและอายุขัยได้  โดยสังเกตุจากป้ายหลุมศพที่มีลักษณะปลายด้านบนแหลมจะเป็นเพศชาย  ส่วนป้ายที่มีลักษณะโค้งมนจะเป็นเพศหญิง   ส่วนขนาดความสูงก็บ่งบอกถึงของอายุขัยที่เสียชีวิตกล่าวคือ ป้ายที่มีขนาดสูงบ่งบอกถึงอายุขัยในวัยชรา   ส่วนบางหลุมจะมีป้ายขนาดเล็กก็บ่งบอกถึงเสียชีวิตตั้งแต่วัยเด็กนั่นเอง

(เสากลมใหญ่สีขาวลายด้านหลัง เป็นสถานีกระจายเสียงช่วงที่มีพิธีละหมาด)

จุดที่สามก็คือ สุเหร่าประจำชาติ (Islamic Centre)ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1984 มัสยิสแห่งนี้เปรียบเสมือนศูนย์รวมทางจิตใจของชาวมาเล่ และถือเป็นมัสยิสที่สำคัญและใหญ่ที่สุดของเกาะ   พื้นที่ภายในมัสยิดสามารถจุคนได้ถึง 5,000 คนเลยทีเดีย โดยผู้เข้าชมต้องแต่งกายสุภาพ ชายสวมกางเกงขายาว หญิงสวมชุด กรอมเท้าบ่าและแขนมีผ้าปิดมิดชิด

(คณะเราส่วนใหญ่กางเกงขาสั้น-กระโปรงสั้นเลยเดินชมแต่เพียงภายนอก)

เดินทางต่อกันอีกชั่วอึดใจจุดที่สี่ก็คือ ตลาดปลาของ   ซึ่งภายในตลาดเต็มไปด้วยอาหารสดๆจากทะเล  โดยเฉพาะปลาทูน่าสดๆที่วางกองมากมายโดยมีชาวบ้านมาเลือกซื้อหาไปทานกัน   ราคาปลาทูน่าที่นี่ก็ไม่แพงประมาณกิโลละ 2-3 ดอลล่าร์หรือประมาณหกสิบถึงร้อยบาทเท่านั้นเอง   

(พ่อค้าที่ตลาดปลากำลังแล่ปลาอย่างขมักเขม้น)

ส่วนปลาชนิดอื่นๆนั้น เช่น ปลาเก๋า ปลากระพงแดง ที่ตลาดนี้ก็ขายกันไม่แพงราคาไม่เกินกิโลละ 5 ดอลล่าร์หรือประมาณร้อยห้าสิบบาทบ้านเรา   คนท้องถื่นที่นี่คุยให้เราฟังว่าหากมีเงินแค่ 5 ดอลล่าร์ก็สามารถหาซื้อปลาตัวใหญ่เก็บไว้ทานที่บ้านได้เป็นอาทิตย์เลยทีเดียว

(ปลาทูน่าตัวโตเนื้อแน่นสดๆวางเรียงกันเพื่อรอการขาย)

หลังจากเสร็จสื้นภารกิจ City Tour ไกด์ท้องถิ่นก็ได้พาเราเข้าชมร้านของที่ระลึกพื้นเมือง   โดยของที่ระลึกส่วนใหญ่ที่น่าซื้อของที่นี่เป็นพวก พวงกุญแจ แผ่นแม่เหล็กติดตู้เย็น กรอบรูป และเครื่องประดับที่ทำจากฟันของปลาฉลาม  โดยการซื้อของที่ระลึกที่นี่สามารถต่อรองราคาได้   

ไฮไลท์ของที่ระลึกมัลดีฟส์สุดฮิตคงหนีไม่พ้น ภาพวาดกะลามะพร้าว เป็นภาพวาดทิวทัศน์ของมัลดีฟส์ที่ใช้สีน้ำมันวาดลงบนกะลาพะพร้าว  เป็นของฝากพื้นเมืองที่กิ๊บเก๋ราคาเฉลี่ยใบละ 15-30 ดอลล่าร์หรือประมาณ 450-900 บาทไทยรับรองว่าของฝากชิ้นนี้ถูกใจผู้รับอย่างแน่นอน

(ของฝากชิ้นนี้รับรองแต่งบ้านเก๋ไก๋ไม่ซ้ำใคร)

โปรแกรมท้ายที่สุดคณะเราได้ทานมื้อเย็นบนเกาะมาเลและนั่งเรือข้ามฟากกลับไปยังสนามบินเพื่อเดินทางกลับสู่ประเทศไทยเป็นอันจบทริปท่องที่ยว "ไข่มุกแห่งมหาสมุทรอินเดีย" ที่เปี่ยมไปด้วยความสุขและความประทับใจ

(สาวๆในคณะยืนประชันความงามกัน)

(ท่องเที่ยวสุขใจ..ไปกับ มีทวี ทัวร์)






 shopee.co.th/healthysport

(กรุณา Click ที่ภาพเพื่อดูสินค้าโปรโมชั่น

Hot!! ผ้าคลุมกระเป๋าเดินทางเกรดพรีเมี่ยมราคาถูกที่สุดในประเทศไทย...มีให้เลือกกว่า 20 แบบ    shopee.co.th/healthysport


 shopee.co.th/healthysport

(กรุณา Click ที่ภาพเพื่อดูสินค้าโปรโมชั่น)
Hot!! เสื้อกันฝนแฟชั่นสไตล์ญี่ปุ่นเกรดพรีเมี่ยมลดสูงสุด 70% ให้เลือกช๊อปกันอย่างจุใจshopee.co.th/healthysport